ตำนานเล่าขาน เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ย




     

จากตำนานที่เล่าขานกันมามากมาย ซึ่งแตกต่างกันมากทางเราได้ทำการศึกษาจากแหล่งข้อมูลหลายๆแหล่ง จึงพบว่าส่วนใหญ่แล้วมักจะเล่าว่า ไฉ่ซิงเอี๊ยมี 2 องค์คือองค์บุ๋น และองค์บู๊ องค์บุ๋นมีชื่อเดิมว่าปี่กาน ส่วนองค์บู๋มีชื่อเดิมวาจ้าวกงหมิง ซึ่งมีตำนานเล่าขานกันมาว่า

     
นานมาแล้ว เจียไท้กง เทพเจ้าผู้ใหญ่ที่มีหน้าที่แต่งตั้งเทพเจ้า วันหนึ่งท่านเจียงไท้กงกำลังนั่งบำเพ็ญตบะอยู่ก็เกิดอาการร้อนใจยิ่งนักจึงทราบด้วยจิตวิญญาณว่าท่านปี่กาน ต้องมีเรื่องเดือดร้อนหนักจึงคิดหาทางช่วย

     
ปี่กานนั้น เป็นอัครมหาเสนาบดีของจักรพรรดิอินโจ้ว ซึ่งเป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์อิน ทรงลุ่มหลงผู้หญิงไม่ใส่ใจ
ราชกิจ ทรงมีสนมเอกนางหนึ่งนาม โซวถังกี้ (ซูต๋าจี่) ที่เป็นหญิงงามที่ลือชื่อในประวัติศาสตร์ ปี่กาน เป็นขุนนางผู้ซื่อตรง พยายามจะเตือนองค์จักรพรรดิให้หันมาสนใจราชกิจ แต่พระองค์ไม่สนพระทัยต่อคำเตือน ปี่กานจึงวางแผนให้ทหารไปจับสุนัขจิ้งจอกมาทำเสื้อคลุมถวายแด่องค์จักรพรรดิ เพราะเชื่อว่า ถังกี้ (ต๋าจี่) เป็นปีศาจจิ้งจอก เมื่อพบเห็นเสื้อคลุมก็จะตกใจและหนีไป แต่เหตุการณ์กับตรงกันข้าม เพราะถังกี้ไม่ตกใจ และยังวางแผนเล่นงานปี่กานกลับคืน

      เย็นวันหนึ่งปี่กานได้ยินเสียงชายชรากำลังประกาศขายหัวใจจึงได้ออกมาดู ซึ่งชายชราคนนี้คือเทพเจียไท้กงแปลงกายมาช่วย
ปี่กานได้ออกมาบอกชายชราว่าหัวใจคือสิ่งสำคัญหากขายไปจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร ชายชราก็บอกแก่ปี่กานว่าหัวใจเป็นต้นเหตุของความรู้สึกผิดชอบชั่วดี หากหัวใจไม่เที่ยงธรรม มือเท้าย่อมทำแต่สิ่งไม่ดี ถ้าเอาหัวใจออกมาขายเสีย ต่อไปข้าพเจ้าก็จะไม่เลือกที่รักมักที่ชัง มีแต่ความยุติธรรม จัดการปัญหาต่างๆ อย่างยุติธรรม เป็นเช่นนี้มิใช่ประเสริฐกว่าหรือปี่กานก็ยังยืนยันคำเดิม ชายชราจึงบอกว่าข้ามียาดีซึ่งทานไปแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ยังสามารถที่จะมีชีวิตอยู่ได้ หลังจากนั้นชราจึงนำออกมาให้ปี่กานชื่นชม และปี่กานได้สูดดมกลิ่นยาที่เต็มไปด้วยความหอม พอรู้ตัวอีกทีชายชราก็หายไป

     
เช้าวันรุ่งขึ้น องครักษ์หลายนายได้มาเชิญตัวปี่กานไปเข้าเฝ้าแต่เช้า ปี่กานรู้สึกแปลกใจ เพราะจักรพรรดิอินโจ้วไม่เคยสนพระทัยว่าราชการ แต่กลับส่งคนมาเชิญตนแต่เช้า จึงไถ่ถามเหล่าองครักษ์ จึงทราบว่า พระสนมถังกี้ เป็นโรคประหลาด หมอหลวงอับจนปัญญาที่จะรักษาได้ มีแต่หัวใจของปี่กานเท่านั้นที่จะสามารถใช้รักษาโรคนี้ได้

     
ดังนั้นพระองค์จึงมีรับสั่งให้เบิกตัวปี่กานมาเข้าเฝ้าแต่เช้า หลังจากปี่กานทราบเรื่องก็ตกใจเป็นอันมาก เรียกหาคนในครอบครัวมาสั่งเสีย ทันใดนั้นเขานึกถึงยาวิเศษที่ได้รับมาจากชายชรา จึงรีบไปหยิบยาวิเศษเม็ดนั้นออกมากลืนกินลง แล้วตามเหล่าองครักษ์เพื่อเข้าเฝ้า พอมาถึงท้องพระโรง จักรพรรดิอินโจ้วก็ตรัสขอหัวใจของปี่กาน เพื่อนำไปใช้รักษาอาการป่วยของพระสนมถังกี้ ปี่กานได้กล่าวเพื่อเตือนสติแก่จักรพรรดิอินโจ้วแต่หาได้เป็นผลไม่กลับสั่งให้ทหารควักหัวใจของปี่การออกมา แต่ปี่การจึงกล่าวขอเพียงแค่มีมีดสั้นและปี่กานจะเป็นผู้ควักหัวใจของตัวเองหลังจากนั้นปี่กานก็ใช้มีดแหวะอก และควักหัวใจออกมา โยนหัวใจนั้นทิ้งไว้กับพื้น แล้วเดินออกจากพระราชวังโดยไม่พูดอะไร

     


แต่สิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้น ปี่กานแม้จะควักหัวใจออกมาแต่ไม่มีแม้เพียงเลือกสักหยด ตั้งแต่นั้นมา ปี่กานก็ออกท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ เขาโปรยเงินทองแจกจ่ายแก่ผู้คนไปทั่ว กลายเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ตามตำนานกล่าวกันว่า ปี่กานกินยาวิเศษของเจียงไท้กงเข้าไป ทำให้เขามีชีวิตอยู่ได้ แม่ว่าจะไม่มีหัวใจ และกล่าวกันว่า เพราะปี่กานไม่มีหัวใจนี่เอง เขาจึงโปรยเงินโปรยทองแก่ผู้คนทั่วไป โดยไม่เลือกว่าคนนั้นดีหรือคนนี้ไม่ดี เลือกที่รักมักที่ชัง เป็นที่มาของเทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ยองค์บุ๋น นั้นเอง

     
ขณะเดียวกัน จ้าวกงหมิง(หวู่ฉายเสิน) ได้บำเพ็ญเพียรอยู่บนเขาบ้อไบ้ ได้สำเร็จมรรคผลเป็นเซียนมีฤทธิ์มาก กลับเกิดอาการเพี้ยนกลายเป็นนักพรตกังฉินที่ทั้งเก่งและอำมหิต จ้าวกงหมิง ถวายตัวรับใช้จักรพรรดิอินโจ้ว ได้ก่อกรรมทำเข็ญไว้มากมาย จ้าวกงหมิงมีบริวารที่ร้ายกาจอยู่ตัวหนึ่ง คือ เสือดำ และยังมีของวิเศษหลายอย่าง อาทิ แส้เหล็ก ไข่มุกวิเศษ เชือกล่ามังกร ฯลฯ ด้วยเหตุนี้ เจียงไท้กงซึ่งเป็นเทพชั้นผู้ใหญ่จึงสู้ จ้าวกงหมิงมิได้

     
ครั้งจ้าวกงหมิงได้ขังเทพเจียงไท้กงไว้ขังไว้ในค่ายกลสิบทิศ เจียงไท้กง พยายามหาทางออกเท่าไหร่ก็ไม่พบ ขณะเดียวกันก็ถูก จ้าวกงหมิง ทำร้ายแทบปางตาย ซ้ำยังขู่เข็ญให้เจียงไท้กงแต่งตั้งตนให้เป็น เทพเจ้าแห่งโชคลาภ แล้วจึงจะปล่อยตัวเจียงไท้กง

       เจียงไท้กงไม่มีทางเลือก จึงยื่นขอเสนอให้แก่จ้าวกงหมิงว่าเราจักแต่งตั้งเจ้าเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภได้อย่างไร เพราะเวลานี้ ปี่กานเป็นผู้ครองตำแหน่งนี้อยู่ หากแม้นเจ้ามีความสามารถนำเอาหัวใจของปี่กานออกมา ทำให้เขาสิ้นชีพวายชนม์เสีย ตำแหน่งเทพเจ้าแห่งโชคลาภนี้ ก็จะเป็นของเจ้าแต่เพียงผู้เดียว

     
จ้าวกงหมิงจึงตอบตกลงและสั่งเสือดำให้ไปนำเอาหัวใจของปี่กานมาให้จงได้ ในขณะเดียวกันปี่กานกำลังโปรยเงินทองโดยเดินทางมาเรื่อยๆจนได้มานอนพักยังเชิงเขาพลันเกิดลมพายุกรรโชกอย่างรุนแรง ปี่กานตกใจอย่างมาก เห็นเสือดำตัวหนึ่งกระโจนใส่ตัวเขาอย่างรวดเร็ว ปี่กาน หลบมิทันถูกเสือตะปบล้มลง จากนั้น มันก็เริ่มตะกุยหน้าอกของปี่กานเพื่อควานหาหัวใจ แต่หาอย่างไรก็หาไม่พบ เพราะปี่กานไม่มีหัวใจแล้ว เสือดำคำรามอย่างโกรธที่หาเท่าใดก็ไม่พบหัวใจไม่ จึงผละออกไปอย่างไม่พอใจ ทั้งนี้เพราะเจียงไท้กงออกอุบายหลอกจ้าวกงหมิงนั่นเอง แม้เสือดำจะมิได้หัวใจของปี่กานไป แต่กงเล็บของมันที่ตะกุยอยู่ในทรวงอกของปี่กานนั้น ทำให้อวัยวะภายในของปี่กานสับสน ส่งผลให้ปี่กานกลายเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภที่ไม่เที่ยงธรรมนัก เขามักโปรยปรายเงินทองอย่างลำเอียง เจอใครก่อนก็ให้คนนั้นก่อน และมักจะให้เยอะๆ ทำให้คนที่ร่ำรวยอยู่แล้ว ก็ยิ่งร่ำรวยยิ่งขึ้น ส่วนคนยากจนอยู่เดิม ก็ยังคงยากจนต่อไป เพราะเป็นเรื่องลำบากไม่น้อย ที่จะหาเครื่องเซ่นไหว้ดีๆ มาบูชาตอนที่เขาออกมาเยือนผู้คนในแดนมนุษย์

     
ทางฝ่ายจ้าวกงหมิง แม้มิได้เป็น เทพเจ้าแห่งโชคลาภตามที่ปรารถนา แต่เนื่องจากเจียงไท้กงเคยตกปากรับคำรับคำไว้ เจียงไท้กงจึงประทานของวิเศษให้ 4 ชิ้น คือ เจียป้อ, หนับเตียว, เจียไช้ และ หลี่ฉี้ ซึ่งเป็นของวิเศษที่ใช้เรียกเงินเรียกทองให้ไหลมาเทมา การค้าราบรื่น มีกำไรดี ดังนั้น ชาวจีนจึงพากันกราบไหว้ จ้าวกงหมิง เป็น เทพเจ้าแห่งโชคลาภอีกองค์หนึ่ง

      ด้วยเหตุที่ว่า จ้าวกงหมิง เป็นผู้ที่มีฤทธิ์มาก เคยเอาชนะเจียงไท้กงมาแล้ว ชาวจีนจึงยกย่องให้เป็นบู๊ไฉ่ซิงเอี๊ย ” (เทพเจ้าแห่งโชคลาภองค์บู๊) และยกย่องปี่กานให้เป็นบุ๋นไฉ่ซิงเอี๊ย ” ( เทพเจ้าโชคลาภองค์บุ๋น) เพราะเคยเป็นอัครมหาเสนาบดีขององค์จักรพรรดิมาก่อน ทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องราวโดยย่อของเทพเจ้าไฉ่ซิ่งเอี๊ยซึ่งคงเป็นความรู้ไม่น้อยสำหรับชาวบาริโอรวมทั้งยังเป็นเรื่องราวที่อ่านแล้วคงสนุกอีกเรื่องหนึ่ง....

รูปลักษณ์และพลานุภาพของไฉ่ซิงเอี๊ย



     ไฉ่ซิงเอี๊ยองค์บุ๋น มักจะเป็นรูปของชายในชุดขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของจีนโบราญ สวมหมวกมีปีกออกไป 2 ข้างคล้ายๆ กับหมวกของเทพ ลก (หมายถึง ฮก ลก ซิ่ว) ชุดขุนนางจีนชั้นผู้ใหญ่ครบเครื่อง ทั้งเสื้อนอก-ใน มือทั้งสองข้างจะถือแผ่นผ้าจารึกอักษร ที่คลี่ออกเป็นอักษรมงคล หรือคำอวยพรที่เป็นสิริมงคลแก่ผู้บูชา ชาวจีนเชื่อว่า ไฉ่ซิงเอี๊ยสามารถดลบันดาล หรือช่วยเหลือให้ผู้ที่บูชามีโชคมีลาภ ตลอดจนมีความมั่งคั่งร่ำรวย โชคลาภที่ได้มาจากรายได้พิเศษ ไม่ใช่รายได้ประจำ (เงินเดือนหรือเงินค้าขายตามปกติ) ไฉ่ซิงเอี๊ยองค์บุ๋น นี้มีอานุภาพหรือให้คุณทางด้านเงินทอง หรือทรัพย์สิน ตลอดจนโชคลาภต่างๆ ทำให้ผู้บูชาประสบความสำเร็จ ลูกค้าเชื่อถือ




ไฉ่ซิงเอี๊ยองค์บู๊ มักจะเป็นรูปชายวัยกลางคน ใส่ชุดนักรบจีนโบราญ ประกอบด้วยชุดเกราะ หมวกขุนพล มือซ้ายถือกระบอง มือขวาถือเงินหยวน(หยวนเป่า) ใบหน้าดุ มีพาหนะเป็นเสือโคร่งลายพาดกลอนตัวใหญ่

      
ไฉ่ซิงเอี๊ยองค์บู๊ นี้ ชาวจีนที่บูชาเชื่อกันว่า มีพลานุภาพให้คุณแก่ผู้บูชาในเรื่องของหนี้สิน ช่วยให้ผู้บูชาเก็บหนี้ได้ง่ายขึ้น ลูกหนี้ไม่คิดเบี้ยวให้เจ้าหนี้ต้องลำบากใจ นอกจากนี้ยังมีอนุภาพช่วย ดูแล และควบคุมบริวาร ตลอดจนลูกจ้างให้อยู่ในระเบียบวินัย มีความขยันในการทำงาน ดังนั้น ตามโรงงาน หรือบริษัทใหญ่ๆ จึงนิยมบูชา ไฉ่ซิงเอี๊ยองค์บู๊ ด้วยความเชื่อที่ว่า จะช่วยดูแลคนทำงาน ตลอดจนเป็นหูเป็นตาให้กับจ้าของกิจการ นอกจากนี้ บรรดาข้าราชการ ทหาร หรือตำรวจ (ของจีน) ล้วนนิยมบูชาเซ่นไหว้ ไฉ่ซิงเอี๊ยองค์บู๊ เพราะช่วยดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีจำนวนมากนั่นเอง



ขอขอบคุณ
หนังสือไฉ่ซิงเอี๊ย เทพเจ้าแห่งโชคลาภ
www.tewaracha.com





โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

8 ตัวอักษรสิริมงคล

เทพเจ้าจีนมงคล ประจำปีเกิด ดวงแบบจีน เทวดาผู้ปกป้องจักรราศี12นักษัตร

ทำไม"พระพุทธชินราช" เป็นพระพุทธรูปจำลองมากที่สุด

บทความเก่า